

อย่างที่ทราบกันดีว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ เพราะถ้าสุขภาพกายดี สุขภาพจิตใจก็จะดีตามไป ส่งผลให้อายุคนเรายืนยาวมากขึ้น สำหรับผู้สูงอายุแล้วนั้นการออกกำลังกายจะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่ายเพราะ เป็นวัยที่ภาระหน้าที่ลดน้อยลงแล้ว มีเวลามากขึ้น แต่จะว่ายากก็ยากพอสมควร เพราะในผู้สูงอายุบางคนร่างกายอาจไม่ปกติ เช่น ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ปวดเข่า ปวดเมื่อย ซึมเศร้า เวียนศีรษะ เฉื่อยชา เป็นต้น และผู้สูงอายุมักเอาอาการเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างที่จะหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย ดังนั้น บุคคลรอบข้าง ลูกหลานต้องมีส่วนในกาช่วยท่าน ชักชวนท่านให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายทั้งกลับกลุ่มผู้สูงอายุหรือกลับลูกหลานเอง เพื่อให้ท่านรู้สึกผ่อนคลาย สนุกนาน ไม่เบื่อ ไม่เหงา และอยากออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้สูงอายุกับการออกกำลังกาย
ดังนั้นเรามาดูกันสิว่ามีวิธีการออกกำลังกายใดบ้าง ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัวของเรา
1. การเดิน การเดินเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ง่ายสำหรับผู้สูงอายุ เพราะไม่หนักและเหนื่อยเกินไป(ยกเว้นสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องของการทรงตัว) โดยให้ผู้สูงอายุเดินในระดับที่เกิดการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่เร็วจนเกินไป หากเดินเร็วไม่ได้ให้เพิ่มระยะเวลาในการเดินแทน
2. การวิ่ง ถ้าหากผู้สูงอายุยังสามารถวิ่งได้ ก็เขาให้วิ่งออกกำลังกายบ้าง แต่ต้องระวังเรื่องข้อเท้าที่ต้องรับน้ำหนักอยู่ตลอดเวลา และควรใส่รองเท้าให้เหมาะสมกับการวิ่งด้วย

3. การรำมวยจีน การรำไทเก๊ก การเล่นโยคะ การทำกายบริหารเหล่านี้ เป็นการทำกายบริหารที่ง่าย ช้าๆ อาศัยการออกกำลังและควบคุมการหายใจเข้าและหายใจออก ช่วยให้มีสติ มีสมาธิ สถานที่ที่ใช้จะต้องปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย และมีผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญในด้านกายบริหารแบบนี้พอสมควร
4. การแกว่งแขน การแกว่งแขนนอกจากจะเป็นการช่วยลดพุงลดหน้าท้องแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองได้ขยับ และทำให้น้ำเหลืองไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย และยังช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. การออกกำลังกายแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุแต่ละคน เช่น การเต้นแอร์โรบิก การต่อยมวย การว่ายน้ำ การรำกระบอง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับภาพร่างกายของท่าน
การออกกำลังกายย่อมมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนทุกๆวัย โดยเฉพาะตัวผู้สูงอายุเอง เมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพใจก็จะดีด้วย ทำให้โรคภัยไข้เจ็บทุเลาเบาบางลงได้ด้วย กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น สดชื่นแจ่มใส ไม่หลงลืม และรู้สึกมีกำลังกายกำลังใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานไปนานๆ
ทะเบียนบ้าน คือ ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้าน ซึ่งแสดงเลขประจำบ้าน และรายการของคนทั้งหมดที่อยู่ในบ้าน
เจ้าบ้าน หมายถึง ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของบ้าน ผู้เช่าหรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
การแจ้งเกิด
เมื่อมีคนเกิดในบ้านจะต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าบ้าน หรือบิดามารดา จะต้องแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่นั้น ภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิด
ในกรณีที่เด็กเกิดนอกบ้าน ควรทำอย่างไรบ้าง
ให้บิดาหรือมารดา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แจ้งต่อนายทะเบียน ผู้รับแจ้ง แห่งท้องที่ที่พึงแจ้งได้ใน 15 วัน นับแต่วันเกิดหรือในกรณีจำเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามกำหนดให้แจ้งภายหลังได้ แต่ไม่เกิน 30 วัน
ผู้แจ้งเกิดจะต้องเตรียมเอกสารและดำเนินการอย่างไรบ้าง
1. ให้แจ้งชื่อตัว – ชื่อสกุล ของเด็กเกิดใหม่ พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านที่จะเพิ่มชื่อ
2. แจ้งวัน เดือน ปี และสถานที่เกิด ถ้ามีหนังสือรับรองการเกิดจากสถานพยาบาลให้นำมาแสดงด้วย
3. แจ้งชื่อตัว – ชื่อสกุล สัญชาติและที่อยู่ของบิดาและมารดาของเด็ก
4. แจ้งชื่อตัว – ชื่อสกุล และที่อยู่ของผู้แจ้งเกิดตามหลักฐานสำเนาทะเบียนบ้าน หรือบัตรประจำตัวประชาชนที่นำไปแสดง
5. กรณีเด็กที่เกิดในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะเป็นผู้แจ้งเกิดให้
สูติบัตร หรือใบเกิด คืออะไร
สูติบัตร คือหลักฐานที่ทางราชการออกให้เพื่อใช้พิสูจน์ทราบถึงตัวบุคคล และใช้เป็นหลักฐานอ้างถึงสิทธิต่างๆ กรณีถ้าพบเด็กในสภาพแรกเกิด หรือเด็กอ่อนถูกทอดทิ้ง จะต้องนำเด็กแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ ในท้องถิ่นที่พบเด็ก
การแจ้งตาย
การแจ้งตาย ควรแจ้งในระยะเวลาเท่าไร การแจ้งตายควรแจ้งภายใน 24 ชั่วโมง
ถ้ามีคนตายในบ้านควรจะทำอย่างไรบ้าง
กรณีที่มีคนตายในบ้านให้เจ้าบ้านเป็นผู้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ ที่มีคนตายภายใน 24 ชั่วโมง
กรณีที่พบศพคนตาย ควรทำอย่างไรบ้าง
ถ้าหากพบศพคนตาย ผู้พบศพ ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายหรือพบศพภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่พบศพ ในกรณีนี้จะแจ้งต่อพนักงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้
การแจ้งตายจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
1. หนังสือรับรองการตาย (ถ้ามี)
2. บัตรประจำตัวประชาชนผู้มาแจ้ง
3. บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย (ถ้ามี)
4. สำเนาทะเบียนบ้าน ฉบับเจ้าบ้านที่คนตายมีชื่อและรายการบุคคล (ถ้ามี)
การแจ้งย้ายที่อยู่
เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายออกจากบ้านให้แจ้งย้ายออกภายในกี่วัน ควรแจ้งย้ายออกภายใน 15 วัน นับแต่
วันที่ย้ายออกจากบ้าน
เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้านให้แจ้งย้ายเข้าภายในกี่วัน ควรแจ้งย้ายเข้าภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน
หลักฐานในการแจ้งย้ายมีอะไรบ้าง
1. สำเนาทะเบียนบ้าน
2. ใบแจ้งย้ายที่อยู่ ตอนที่ 1 และตอนที่ 2
3. บัตรประจำตัวประชาชนเจ้าบ้าน
4. บัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้ง
ถ้าหากต้องการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทาง ต้องทำอย่างไรบ้าง
ผู้ที่ย้ายที่อยู่สามารถไปแจ้งย้ายออกและย้ายเข้า ณ สำนักทะเบียนปลายทางผู้ย้ายที่อยู่เป็นผู้แจ้งย้ายด้วยตนเองต้องนำบัตรประจำ ตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านพร้อมคำยินยอมเป็นหนังสือของเจ้า บ้านบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้านที่ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่
ถ้าต้องการแจ้งย้ายออกต้องทำอย่างไรบ้าง
การแจ้งย้ายออกจะต้องนำบัตรประจำตัวประชาชน (กรณีแจ้งย้ายตัวเอง) สำเนาทะเบียนบ้าน ฉบับเจ้าบ้านที่มีชื่ออยู่ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขอแจ้งย้ายออก และในกรณีที่จะย้ายผู้อื่นออกจากบ้านท่าน เจ้าบ้านจะต้องนำทะเบียนบ้าน ฉบับเจ้าบ้าน บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของบ้านพร้อมทั้งแจ้งย้ายสถานที่ที่จะแจ้งย้าย ชื่อเข้าไปอยู่ใหม่
เมื่อ เจ้าหน้าที่ได้รับคำร้องแล้วก็จะดำเนินการตรวจสอบว่ามีการสร้างอาคารหรือ บ้านเรือนตามที่ขอจริงหรือไม่และถูกต้องตามแปลนหรือไม่เมื่อตรวจสอบแล้วถูก ต้องก็จะอนุญาตให้มีเลขที่บ้านได้
การขอเลขที่บ้านจะต้องดำเนินการอย่างไร
เมื่อเจ้าบ้านได้รับอนุญาตให้มีเลขบ้านได้แล้วให้นำหลักฐานดังกล่าวพร้อม ทั้งใบอนุญาตให้มีเลขบ้านได้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งท้องที่นั้นๆงาน ทะเบียนฯ เพื่อขอเลขประจำบ้าน ภายใน 15 วันนับแต่ได้รับอนุญาตหากไม่ไปแจ้งตามกำหนดมีความผิดตามกฎหมายโทษปรับไม่ เกิน 1,000 บาท
กรณีที่ปลูกบ้านมานานแต่ยังไม่มีเลขประจำบ้านควรทำอย่างไร
ถ้าปลูกบ้านมานานแล้วแต่ยังไม่มีเลขประจำบ้านเจ้าของบ้านต้องไปยื่นขอคำร้อง ขอเลขประจำบ้านได้ที่กองช่าง โดยนำหลักฐาน ดังต่อไปนี้
นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากปัจจัยสภาพอากาศที่ร้อน ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังโรคพิษสุนัขบ้า โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากอยู่บ้านเล่นกับสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ให้ระมัดระวังอาจถูกกัดหรือข่วน รวมถึงไม่ไปแหย่สุนัขไม่มีเจ้าของ จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 มีนาคม 2559 พบผู้ป่วย 3 ราย จาก 3 จังหวัด เสียชีวิตทั้ง 3 ราย จังหวัดที่พบผู้เสียชีวิตคือ ระยอง สมุทรปราการ และ สงขลา
 นายแพทย์อำนวย กล่าวต่อว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากการถูกสุนัขหรือแมว กัดหรือข่วน ซึ่งผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หรือรับการฉีดวัควีนไม่ครบชุด และไม่มีการล้างแผลหรือปฐมพยาบาลก่อนพบแพทย์ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสโรคมากที่สุด และแม้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะพบผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 10 รายต่อปี แต่ยังมีการพบเชื้อในสัตว์เป็นจำนวนมาก
นายแพทย์อำนวย กล่าวต่อว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากการถูกสุนัขหรือแมว กัดหรือข่วน ซึ่งผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หรือรับการฉีดวัควีนไม่ครบชุด และไม่มีการล้างแผลหรือปฐมพยาบาลก่อนพบแพทย์ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสโรคมากที่สุด และแม้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะพบผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 10 รายต่อปี แต่ยังมีการพบเชื้อในสัตว์เป็นจำนวนมาก
โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัว น้ำ เกิดจากเชื้อไวรัสเรบี่ส์ ที่เกิดได้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น สุนัข แมว หนู กระรอก กระต่าย ลิง ค้างคาว เป็นต้น แต่ในประเทศไทยมักพบในสุนัขมากที่สุด การติดเชื้อจะเกิดจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อไวรัสเรบี่ส์กัด ข่วน หรือน้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือบาดแผลตามร่างกาย เชื้อจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นบริเวณที่โดนกัดหรือข่วน จากนั้นจะเข้าสู่ระบบประสาท เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการของโรค ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-8 สัปดาห์ แต่อาจสั้นเพียงแค่ 7 วันหรือยาวเกินกว่า 1 ปี ส่วนอาการของโรคพิษสุนัขบ้า เริ่มจาก 2-3 วันแรกผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีไข้ ชา เจ็บเสียว หรือปวดบริเวณรอยแผลที่ถูกกัด คันอย่างรุนแรงที่แผลและลำตัว ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย กลัวแสง กลัวลม ไม่ชอบเสียงดัง เพ้อเจ้อ กลืนลำบาก โดยเฉพาะของเหลว กลัวน้ำ และกล้ามเนื้อขากระตุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรืออาจชัก เกร็ง อัมพาต หมดสติ และตายในที่สุด
ด้านการป้องกันโรค ขอแนะนำให้ระมัดระวังการสัมผัสสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะลูกสุนัข และเฝ้าระวังเด็กๆ ไม่ให้เล่นกับสัตว์ที่ไม่คุ้นเคย นอกจากนี้ควรนำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี ที่สำคัญต้องขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง และเลี้ยงสุนัขอย่างรับผิดชอบ และรู้จักวิธีป้องกันไม่ให้สุนัขกัดหรือทำร้าย ด้วย คาถา 5 ย. “อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแย่ง อย่าหยิบ อย่ายุ่ง กับสุนัขที่ไม่ปรากฏเจ้าของ หรือไม่ทราบประวัติ” จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนให้ประชาชนนำสุนัขและแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หากโดนสุนัขหรือแมวกัด ควรรีบล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่หลายๆครั้ง แล้วเช็ดแผลให้แห้งและใส่ยาฆ่าเชื้อ และรีบไปพบแพทย์ โรคพิษสุนัขบ้านั้นไม่มีทางรักษาให้หายได้ หากติดเชื้อและมีอาการแล้ว จะเสียชีวิตทุกราย ดังนั้นหากพบเห็นสัตว์ที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า คือมีอาการหางตก เดินโซเซ น้ำลายย้อย ลิ้นห้อย ตาขวาง ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือผู้นำชุมชน และให้ช่วยกันจับอย่างระมัดระวังอย่าให้ถูกกัดหรือข่วน จากนั้นกักสัตว์ไว้ดูอาการ 10 วัน หากสัตว์ตายให้นำหัวสัตว์หรือตัวสัตว์ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการของกรมปศุ สัตว์ต่อไป หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
ที่่มา : http://www.muslim4health.or.th/2014/index.php?op=news-detail&id=665#.VxjziEe-O9w
อาการในสัตว์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันไปบ้างแต่อาการที่เป้นรูปแบบชัดเจนที่ สุด ได้แก่ อาการในสุนัขและสามรถนำไปเทียบให้แตกต่างกับอาการของสัตว์ชนืิดอื่นได้ อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข แบ่งเป็น 3 ระยะคือ
อาการเริ่มแรกหรืออาการนำ
เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและพฤติกรรมที่เคยเป็นอยู่ไปในทางที่ตรงกันข้าม กับปกติ จะสามารถเห็นได้ง่ายถ้าเราได้อยู่ใกล้ชิดกับสุนัขที่เลี้ยงไว้เป้นประจำ อาการเริ่มแรกที่พบคือ ถ้าเป็นสุนัขที่เคย สดใสร่าเริงชอบคลุกคลี เล่นกับเจ้าของมักจะมีอาการหงุดหงิด ไม่อยากเข้าใกล้ไม่เล่นเหมือนเดิม หลบซ่อนตัวอยู่ตามมุม ทีมืดต่างๆ และถ้าจะเอามันออกจากที่ซ่อน ก็มักจะเห่าหรืองับเข้าให้ อย่างไม่พอใจ ส่วนสุนัขที่ปกติมักจะหวาดระแวง ก็กลับมีความกล้ามากขึ้น และหากสังเกตใกล้ชิดในบางตัวจะพบว่า ม่านตาจะขยายกว้างกว่าปกติ มีอาการตอบสนองต่อแสงลดลง สุนัขจะแสดงอาการเริ่มแรกนี้ 2-3 วัน หลังจากนั้นโรคก็จะดำเนินเข้าสู่ระยะต่อไป
อาการระยะตื่นเต้น
เป็นอาการของโรคระยะถัดมาที่เห็นชัดเจนที่สุด เมื่อผ่านพ้นอาการนำแล้ว จะมีอาการลุกลี้ลุกลน กระวนกระวานมากขึ้น พยายามจะหนีออกจากบ้านออกจากบริเวณที่เคยอยู่ และหากออกมาได้ ก็จะวิ่งอย่างไร้จุดหมาย มักจะมีอาการแปลกๆ เช่น งับลม หรือกัดกินสิ่งแปลกปลอม ต่างๆที่ขวางหน้า เช่น ก้อนหิน อิฐ ดิน หญ้า เศษไม้ เป็นอาการบ้าคลั่งแบบชัดเจน หากจับขังก้จะกัดกรงอย่างรุนแรงจนเป็นแผลที่ปาก ฟันหักโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด เสียงเห่าหอนจะผิดปกติเนื่องจากเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อกล่องเสียงต่อมาจะ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน ทำให้ลิ้นห้อยออกนอกปาก น้ำลายไหล ลิ้นมีสีแดงคล้ำ หรือมีร่องรอยของการบอบช้ำ อาจมีอาการอื่นๆที่แปลกไป เช่นอาการเหมือนมีกระดูกหรือก้างติดคอ บางรายแสดงความอยากกินน้ำหรืออาหารแต่ไม่สามารถกินได้ สำหรับอาการกลัวน้ำอย่างชัดเจนเหมือนในคนไม่ใช่อาการที่พบบ่อยในสุนัข ระยะต่อมาลำตัวจะแข็งเกร็ง หางตก ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย ซึ่งเป็นอาการที่เริ่มเข้าสู่ระยะอัมพาต โดยมันจะแสดงอาการระยะนี้อยู่ประมาณ 1-7 วัน
ที่มา : http://jack-of-alldisease.blogspot.com/2012/04/symptoms-of-baddog.html
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza FLU) เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปี แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน (ช่วงเดือนกรกฏาคม ถึง ธันวาคม) บางปีอาจพบการระบาดทั่วโลก พบสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัว ร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า อินฟลูเอนซาไวรัส(Influenza virus) เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหาของผู้ป่วยติดต่อโดยการไอหรือ จาม หรือหายใจรดกัน
ระยะฟักตัว
 มีระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิดใหญ่ เรียกว่า ชนิด เอ บี และ ซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ออกไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิต้านทานต่อพันธุ์นั้น แต่ไม่สามารถต้านทางพันธุ์อื่น ๆ ได้จึงอาจติดเชื้อ จากพันธุ์ใหม่ได้ เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อ ของประเทศที่เป็นแหลงต้นกำหนด เช่น ไข้หวัดใหญ่ ฮ่องกง (เรียก สั้น ๆ ว่าไข้หวัด ฮ่องกง หรือหวัดฮ่องกง),ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์เป็นต้น
    มีระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิดใหญ่ เรียกว่า ชนิด เอ บี และ ซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ออกไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิต้านทานต่อพันธุ์นั้น แต่ไม่สามารถต้านทางพันธุ์อื่น ๆ ได้จึงอาจติดเชื้อ จากพันธุ์ใหม่ได้ เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อ ของประเทศที่เป็นแหลงต้นกำหนด เช่น ไข้หวัดใหญ่ ฮ่องกง (เรียก สั้น ๆ ว่าไข้หวัด ฮ่องกง หรือหวัดฮ่องกง),ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์เป็นต้น
อาการ
มักจะเกิดขึ้นทันที่ทันใดด้วยอาการไข้สูงหนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก(โดย เฉพาะที่กระเบนเหน็บ ต้นขา ต้นแขน) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง แต่บางราย ก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตุว่าไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-3 วัน แล้วค่อย ๆ ลดลง อาการไอ และอ่อนเพลียอาจจะเป็นอยู่ อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลาแล้วก็ตาม บางคนเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้ว อาจมีอาการวิงเวียนเหมือนเมารถเมาเรือ เนื่องจากมีการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเองภายใน 3-5 วัน
สิ่งที่ตรวจพบ
ไข้ 38.5-40 ํC เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อย หรือไม่แดงเลย(ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึก เจ็บคอ) ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ
อาการแทรกซ้อน
ข้อแนะนำ
ที่มา : http://www.bknowledge.org/home/page/health/files/23.html